ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 15  ร่วมประชุมกับคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดลำพูน ครั้งที่ 1/2568 และลงพื้นที่ติดตาม สอดส่องโครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนนแอสฟัลติกคอนกรีต ถนนสาย ลพ.2046 แยกทางหลวงหมายเลข 11 -บ้านห้วยไซเหนือ

          วันนี้ (วันพุธที่ 7 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมหริภุญชัย ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดลำพูน นายพิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดลำพูน (ก.ธ.จ.ลำพูน) ครั้งที่ 1/2568 พร้อมคณะผู้ตรวจกระทรวง เขตตรวจราชการที่ 15 ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม
         โดยในที่ประชุมได้มีการรายงานผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. จังหวัดลำพูน ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา พร้อมการรายงานผลดำเนินงานและความก้าวหน้าโครงการต่างๆ  นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาในเรื่องการคัดเลือกแผน / โครงการเพื่อสอดส่องประจำปีงบประมาณ 2568 ร่วมกัน โดยในปีนี้มีโครงการเพิ่มเติม 2 โครงการ เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการขับเคลื่อนโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน 
และจากกรณีเด็กนักเรียนโรงเรียนป่ายาง โรงเรียนศรีบังวัน พร้อมด้วยผู้ปกครองชาวบ้านตำบลริมปิง อ.เมืองลำพูน ได้พากันเดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดฯ เพื่อติดตามความคืบหน้า กรณีที่เคยร้องเรียนเรื่องความเดือดร้อนจากการนำเงินไปฝากกับสถาบันการเงินชุมชนตำบลริมปิง ตัวแทนผู้เสียหายได้ยื่นเรื่องร้องทุกข์ ขอให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดลำพูน (ก.ธ.จ.ลำพูน)  ประสานติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 15 ได้มีมติรับเรื่องไว้ติดตามในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานไว้แล้ว
       จากนั้นในช่วงบ่าย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเขตตรวจราชการที่ 15  พร้อมคณะฯ  ได้ลงพื้นที่สอดส่องแผนงาน/โครงการ ในโครงการปรับปรุงซ่อมแซมถนนแอสฟัลติกคอนกรีต ถนนสาย ลพ.2046 แยกทางหลวงหมายเลข 11 -บ้านห้วยไซเหนือ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ความยาว 3.900 กิโลเมตร ซึ่งเป็นงานเสริมผิวลาดยางแอสฟัลติกคอนกรีต ช่วง กม.ที่ 22+600 - 24+500 และงานซ่อมสร้างผิวทางแอสฟัลติกคอนกรีต (โดยวิธี Pavement In Place Recycling)ช่วง กม.ที่ 24+500 - 26+500 โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 100% และตรวจรับงานเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้พี่น้องประชาชนทมี่สัญจรผ่านไปมาได้รับความสะดวกในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น